ความยากในการเป็นผู้มีเงินทอง

ความยากในการเป็นผู้มีเงินทองนั้นมีมากขนาดไหน? เมื่อคราวที่ผู้มีเงินทองไม่ได้เกิดขึ้นในคืนเดียว ทำไมบางคนถึงประหยัดมาหมายังไม่สามารถกลายเป็นผู้มีเงินทองได้? ที่จริงแล้วการออมเป็นเพียงวิธีการหนึ่ง ผู้มีเงินทองมักจะบอกกับคุณจากประสบการณ์ตรงว่า หากคุณยืนหยัดใช้พฤติกรรมทั้งสามนี้ ก็อาจมีโอกาสที่จะสร้างฐานะได้จากมือเปล่าเข้าสู่วงการมหาเศรษฐีก็เป็นได้。

ยืนหยัด สม่ำเสมอ และไม่หยุดหย่อน

ยกตัวอย่างกรณีหนึ่ง: สมมุติว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่สามารถเก็บเงินได้ปีละ 14,000 บาท ซึ่งทำต่อเนื่องเป็นเวลา 40 ปี; แต่หากเขานำเงินที่ต้องเก็บไปลงทุนในหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์และได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยปีละ 20% แล้ว สิบปีต่อมา เขาจะมีทรัพย์สินมากมายเท่าไหร่? จำนวนที่คนทั่วไปทายไว้มักจะอยู่ระหว่าง 2 ล้านบาทถึง 8 ล้านบาท หรือสูงสุดที่ 10 ล้านบาท

แต่จริงๆ แล้วคำตอบที่ถูกต้องคือ: 102.81 ล้านบาท ตัวเลขนี้ทำให้ผู้คนประหลาดใจ ข้อมูลนี้คำนวณจากสูตรการเงินสำหรับเงินบำนาญ สูตรการณ์ดังนี้: 14,000 (1 + 20%)^40 = 102.81 ล้านบาท。สูตรอัศจรรย์นี้แสดงให้เห็นว่า หากชายหนุ่มวัย 25 ปีลงทุนในทางนี้จนกระทั่งเกษียณทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีได้。การลงทุนและบริหารจัดการทางการเงินไม่ได้มีเทคนิคอะไรซับซ้อน สิ่งสำคัญคือแนวคิดในการยืนหยัด คนที่ร่ำรวยจากการบริหารจัดการเงินมีเพียงบางคนที่มีวินัยที่คนทั่วไปไม่ชอบและทำไม่ได้。แน่นอน หากมีโครงการใดที่สามารถดำเนินการบรรลุผลตอบแทนถึง 20% ต่อปี ก็ต้องถือว่าเป็นโครงการที่น่าพิศวง หลักการสำคัญของการจัดการการเงินคือการมองเห็นว่า "การยืนหยัด" คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่มีข้อสงสัยใดๆ。

ช่องทางลงทุนที่ถูกต้องทำให้เงินงอกเงยได้เร็วขึ้น

ในปัจจุบัน การออมยังคงเป็นวิธีการบริหารจัดการทางการเงินที่เป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม การเก็บเงินในธนาคารในระยะสั้นนั้นปลอดภัยที่สุด แต่ในระยะยาวกลับเป็นวิธีการบริหารจัดการทางการเงินที่อันตรายที่สุด การฝากเงินในธนาคารไม่ผิด แต่ผิดตรงที่อัตราดอกเบี้ย (ผลตอบแทนจากการลงทุน) ต่ำเกินไปซึ่งไม่เหมาะสำหรับ เป็นเครื่องมือการลงทุนระยะยาว。เช่นเดียวกัน ถ้าบุคคลหนึ่งฝากเงินปีละ 14,000 บาทและได้เงินคืนเฉลี่ย 5% หลังจาก 40 ปี เขาสามารถสะสมเงินได้ 14,000 (1 + 5%)^40 = 1.69 ล้านบาท

เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการที่ให้ผลตอบแทน 20% ความต่างกันกว่า 70 เท่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจำนวนมากแนะนำให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็นสามส่วน: หนึ่งส่วนเก็บในธนาคาร หนึ่งส่วนลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และอีกหนึ่งส่วนลงทุนในเครื่องมือที่เสี่ยงกว่า บางทีจะดีกว่านี้หากคุณแนะนำการลงทุนให้กับตัวเองโดยมีรูปแบบ "ใหญ่สองเล็กหนึ่ง" โดยส่วนใหญ่ของทรัพย์สินให้ลงทุนในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ ส่วนเงินน้อยหน่อยเก็บไว้ในสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตในแต่ละวัน

จำเป็นต้องมีสายตาที่เฉียบแหลม

ยังมีตัวอย่างของ "มหาเศรษฐีที่มีชีวิตสั้น" ที่ล้มละลายในคืนเดียวเพราะได้หลงเข้าไปในกับดักการลงทุน ในการเดินทางสู่วิธีการที่จะกลายเป็นมหาเศรษฐี เราจำเป็นต้องมีดวงตาที่เฉียบแหลมในการจับผิดกับกับดักการหลอกลวงทางการเงิน เช่น การออมเงินในอัตราดอกเบี้ยสูงซึ่งไม่สามารถถอนคืนได้ ขณะนี้มีสถานที่บางแห่งที่ปรากฏ "กลุ่มช่วยเหลือ" "มูลนิธิ" และหน่วยงานที่เก็บเงินผิดกฎหมาย ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่าธนาคาร แต่การฝากเงินเหล่านี้ไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมาย

เมื่อเงินไม่ได้ถูกถอนหรือมีการหลบหนี ทุกคนที่ฝากเงินไปจะสูญเสีย โชคชะตาแทบจะกลับไม่เหลืออะไร นอกจากนี้การเป็นผู้ให้คำรับประกันการกู้ยืมนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างธรรมดา แต่ต้องระวัง ว่าการให้คำประกันนั้นไม่ได้แค่เพียงการลงนามและประทับตราเอง ยังมีความรับผิดชอบมากกว่าที่คิด หากคุณกลายเป็นผู้ให้คำรับประกันสำหรับผู้กู้ยืม เมื่อผู้กู้ยืมเลื่อนการชำระหนี้ออกไป ผู้ให้คำรับประกันเองจะต้องอดทนและต้องจ่ายหนี้ให้แทน。