การวิเคราะห์ MACD และราคา

ที่นี่หมายถึงตัวบ่งชี้ MACD และราคา ซึ่งสัมพันธ์กัน สามารถเปรียบเทียบได้แบบไม่ค่อยถูกต้องนัก โดยราคาเปรียบเสมือนมือหนึ่งข้าง และตัวบ่งชี้เปรียบเสมือนสปริงที่แปลก เมื่อมือมีพลังมาก สปริงจะถูกบีบหรือยืดออกโดยพลังของมือ ซึ่งจากกราฟจะแสดงให้เห็นว่า เมื่อราคาแตะจุดต่ำสุดใหม่ ตัวบ่งชี้ก็จะตามไปสร้างจุดต่ำใหม่ เมื่อราคาแตะจุดสูงสุดใหม่ ตัวบ่งชี้ก็จะแตะจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน

พลังในการเคลื่อนไหวของราคา

ราคาจำเป็นต้องเคลื่อนไหวในทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่อง และพลังในการเคลื่อนไหวนี้จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากราคาเริ่มมีพลังน้อยลง จะเกิดสถานการณ์ที่มือพยายามบีบหรือยืด (ซึ่งแสดงโดยการขึ้นหรือลงของราคา) ในขณะที่สปริง (ตัวบ่งชี้) กลับไม่สามารถยืดหรือบีบได้ ส่งผลให้เกิดการเบี่ยงเบน ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่สปริงเริ่มแสดงพลังของมัน

การเบี่ยงเบนแบบคู่

ทุกคนควรเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าสปริงเมื่อถูกบีบจนถึงขีดสุด จะเกิดอะไร - นั่นคือการเด้งกลับ อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตว่าในกรณีนี้ สปริงจะถูกบีบอยู่จนเกิดการเบี่ยงเบน ซึ่งผมเรียกว่าการเบี่ยงเบนแบบคู่ ความน่าเชื่อถือและพลังมักมากกว่าการเบี่ยงเบนเพียงครั้งเดียว

การหลีกเลี่ยงการตัดสินใจผิดพลาด

สำหรับการหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่ผิดพลาด พูดง่าย ๆ ว่า การตรวจสอบการเบี่ยงเบนแบบคู่ให้ค้นพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าครั้งแรกอาจเป็นการหลอกลวง และต้องรอจนกว่าครั้งที่สองเกิดขึ้นก่อนที่จะถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมในการซื้อขาย

ความสำคัญของการวิเคราะห์!

ดังนั้นการวิเคราะห์และการใช้การเบี่ยงเบนอย่างถูกต้องจึงมีความสำคัญ เพราะการหยิบยกรายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ในการตีความหมายของกราฟ MACD จะสามารถช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างราคาและตัวบ่งชี้ได้อย่างดียิ่ง

บทสรุป

การเบี่ยงเบนมีองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญคือ ราคาที่ทำจุดสูงใหม่หรือจุดต่ำใหม่ แต่ดัชนีไม่ทำตามในช่วงเวลาดังกล่าว ปรากฏการณ์นี้มักจะถูกเรียกว่าการเบี่ยงเบน ในการเทรดเราต้องเข้าใจว่าการพบการเบี่ยงเบนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถบอกได้ว่าตลาดจะพลิกกลับ ควรใช้การวิเคราะห์ร่วมด้วย

แนวทางการลงทุน

ใช้วิธีเบี่ยงเบนในการลงทุนจะต้องมีการตั้งจุดตัดขาดทุนที่เหมาะสม เมื่อบรรลุเงื่อนไขต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จของการลงทุนในสกุลเงิน.